บริษัทขนส่งสินค้า และแนวทางการจัดการความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร

บริษัทขนส่งสินค้า และแนวทางการจัดการด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร

บริษัทขนส่งสินค้า ควรมีผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำ และความรับผิดชอบ ผู้นำในทุกระดับของ บริษัท ขนส่งสินค้า จะต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในทุกส่วนงานให้เห็นเด่นชัด สำหรับความปลอดภัยในการขับขี่ จะต้องมีการกำหนดบทบาท และ หน้าที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนให้กับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับผู้จัดการที่ได้รับมอบหมายลงมาตามโครงสร้างการบริหารงาน

– ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการบริหาร ข้อกำหนดประการแรก และเป็นข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่นใจว่าแผนงานด้านความปลอดภัยทั้งหมดรวมถึงแนวปฏิบัติด้านการขับขี่อย่างปลอดภัยจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คือ การเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมของผู้บริหารระดับสูงและคณะจัดการ

– ผู้จัดการสายงานหลักและผู้จัดการด้านการ ขนส่งสินค้า  ความรับผิดชอบและหน้าที่ในการนำแนวทางการปฏิบัติที่เสนอแนะนี้ไปปฏิบัติให้สำเร็จ ขึ้นอยู่กับผู้จัดการสายงานหลัก และผู้จัดการโลจิสติกส์

– ผู้รับผิดชอบงานด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย หน่วยงานด้านสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยจะต้องให้การสนับสนุน แนะนำ กระตุ้นและทำงานร่วมกับผู้จัดการหน่วยอื่นอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การปฏิบัติงานนี้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของสายงานหลัก

คุณสมบัติ และการคัดเลือกผู้ขับขี่ ผู้ขับขี่จะต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด สุขภาพแข็งแรง และ สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยตามเกณฑ์ที่กำหนด กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของพนักงานขับรถประกอบด้วย :

  • ผู้สมัครมีใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย และตรงตามประเภทของรถ ขนส่งสินค้า ที่คาดว่าผู้สมัครต้องใช้ปฏิบัติงาน
  • ดูประวัติอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นหรือประวัติการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายก่อนที่จะทำการคัดเลือกเพื่อสัมภาษณ์
  • การตรวจสอบสุขภาพร่างกาย สายตา และความแข็งแรง ของผู้สมัคร
  • บุคคลอ้างอิงของผู้สมัครเป็นผู้ที่เชื่อถือได้และใบอนุญาตขับรถบรรทุกของผู้สมัคร(ไม่หมดอายุ)
  • ในขั้นตอนการสรรหา ให้ทำการประเมินความสามารถและทัศนคติด้านการขับรถของผู้สมัคร
  • การทดสอบความรู้ของผู้สมัครเกี่ยวกับกฎระเบียบการจราจร หรือ กฎข้อบังคับว่าด้วยการใช้ทางหลวง

การฝึกอบรม และการประเมินผลการขับขี่ ผู้ขับขี่ทุกคนที่ขับรถให้กับ บริษัทขนส่งสินค้า จะต้องได้รับการฝึกอบรมการขับรถเบื้องต้นตามที่จำเป็น ร่วมกับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องโดยพิจารณาจากการประเมินความเสี่ยง สำหรับการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงและใช้รถประเภทพิเศษที่ใช้เฉพาะงาน จะต้องมีการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้กับพนักงานขับรถตามความเหมาะสมด้วย เพื่อสนับสนุนให้การปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จ พนักงานขับรถขนาดใหญ่ที่ขับรถในงานของบริษัทเป็นระยะทางมากกว่า 15,000 กิโลเมตร  ต่อปี (หรือตามสัดส่วนระยะทางในช่วงเวลาใดก็ได้ของปี) ควรจะต้องได้รับการฝึกอบรมและประเมินผลตามแนวทางของเรา ที่ต้องใช้เวลาในการขับรถมากกว่าร้อยละ 15 ของชั่วโมงการทางาน (หรือตามสัดส่วนในหนึ่งปี) จะต้องปฏิบัติตามแนวทางการฝึกอบรม และประเมินผลตามที่ระบุไว้

การฝึกอบรมการขับขี่ ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้:

  • การทบทวนนโยบาย และหลักเกณฑ์มาตรฐานที่เกี่ยวกับการขับรถของบริษัท
  • การทบทวนบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุ
  • เทคนิคการการขับรถเชิงป้องกัน (ระยะการเดินทางที่ปลอดภัย การเคลื่อนไหวของดวงตา ระยะโฟกัส การคาดเดาเหตุการณ์ และ การหยุดรถ)
  • เทคนิคการจัดการความเสี่ยงในการเดินทาง
  • การป้องกันอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย
  • ผลข้างเคียงของการใช้ยาและสารเสพติด
  • ระบบนิรภัยในรถ (เข็มขัดนิรภัย) และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
  • การตรวจสอบก่อนการเดินทางและการจัดที่นั่งให้เหมาะสม
  • อันตรายในการขับรถในท้องถิ่น (รวมถึงความปลอดภัยส่วนบุคคล) กฎข้อบังคับและลักษณะทางสังคม
  • การประเมินพฤติกรรมและทักษะการขับรถ โดยพิจารณาจากประวัติการเกิดอุบัติเหตุ

ความจำเป็นในการฝึกอบรมเพื่อทบทวนและเพิ่มพูนความรู้และการประเมินผล จะพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานของพนักงานขับรถและการประเมินความเสี่ยง โดยการฝึกอบรมเพื่อทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ จะดำเนินการในช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากการฝึกอบรมเบื้องต้น ถ้าการฝึกอบรม และการฝึกสอนนี้ยังไม่สามารถปรับปรุงพฤติกรรมและทักษะด้านการขับรถที่ไม่น่าพึงพอใจให้ดีขึ้นได้ พนักงานขับรถนั้นควรพิจารณาปลดออกจากหน้าที่ในการขับรถ คุณภาพของผู้ดาเนินการฝึกอบรม และเนื้อหาหลักสูตร จะต้องเป็นไปตามความต้องการ และความคาดหมายของบริษัท จะต้อง:

  • ใช้เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมภายในที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือผู้ฝึกอบรมภายนอกที่เชื่อถือได้ และเป็นที่ยอมรับ
  • แจ้งความต้องการ และความคาดหวังของบริษัทในหลักสูตรและเนื้อหาการฝึกอบรมเพื่อที่จะได้ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านของบริษัท
  • ทบทวนมาตรฐานการฝึกอบรมเป็นประจำ เพื่อพัฒนาคุณภาพและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรให้ดีขึ้น

การคัดเลือก และการกำหนดคุณสมบัติของ รถขนส่งสินค้า รถที่ใช้จะต้องเหมาะสมกับลักษณะงาน (โดยพิจารณาประเภทของงาน และระยะเวลาในการเดินทางให้เหมาะสมกับทั้งพนักงานขับรถ และประเภทของรถ) ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่า การจัดการขนส่งจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีความเสี่ยงต่อพนักงานขับรถ สินค้า และผู้ขับขี่บนท้องถนนคนอื่นๆ น้อยที่สุด รถทุกคันจะต้องมีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ที่สามารถใช้งานได้ (ดูจากองค์ประกอบด้านความปลอดภัยสาหรับพนักงานขับรถ ข้อ 3 ) และ มีการจัดเตรียมเสื้อสะท้อนแสงไว้ (ดูจากองค์ประกอบด้านความปลอดภัยสาหรับพนักงานขับรถ ข้อ 8) สำหรับรถขนาดเล็ก จะต้องมีอุปกรณ์อย่างน้อยต่อไปนี้ติดตั้งอยู่อย่างแน่นหนา และปลอดภัย

  • พนักพิงศีรษะ (ทุกที่นั่ง)
  • ถุงลมนิรภัย (อย่างน้อยที่สุดตรงที่นั่งคนขับ)
  • กระจกมองข้างตรงที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร
  • ระบบเบรก ABS

บริษัทขนส่งสินค้า ของเรา จะไม่อนุญาตให้พนักงานนำรถส่วนตัวมาใช้ในการปฏิบัติงานของบริษัท เว้นแต่รถนั้นจะมีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้ข้างต้น  และบริษัทควรพิจารณาติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยต่อไปนี้เพิ่มเติมในรถตามลักษณะ และความจำเป็นในการเดินทางและจัดฝึกอบรมวิธีการใช้ให้กับพนักงานขับรถเพื่อจะได้ช่วยให้ใช้งานได้ดีขึ้นและสามารถจัดการกับอันตรายและเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ ยกตัวอย่างเช่น

  • อุปกรณ์ดับเพลิง (ในกรณีที่จำเป็น)
  • ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นและกระบอกไฟฉาย
  • ยางอะไหล่
  • ชุดเครื่องมือซ่อมและอะไหล่รถ (หลอดไฟ ฟิวส์ สายพานพัดลม)
  • ชุดไฟเตือนฉุกเฉินแบบสามเหลี่ยม

รถขนาดใหญ่ (น้ำหนักเกิน 3.5 ตัน) ที่จัดซื้อใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 จะต้องมีอุปกรณ์อย่างน้อยต่อไปนี้ติดตั้งอยู่ และรถเดิมที่มีอยู่แล้วจะต้องปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น โดยจัดลำดับความสำคัญตามความเสี่ยง และการประเมินค่าใช้จ่ายของแต่ละบริษัท

  1. กระจกมองข้างด้านขวาและซ้าย และกระจกนูนสำหรับมองจุดบอด (ตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่ออกมาล่าสุดที่กำหนดให้มีการติดตั้งกระจกมองกว้างสำหรับดูจุดบอดในรถใหม่ทุกคัน)
  2. ถุงลมนิรภัย (อย่างน้อยที่สุดสาหรับที่นั่งคนขับ)
  3. ระบบเบรค ABS
  4. สัญญาณเตือนถอยหลังแบบมีเสียง (สำหรับรถทั้งหมดที่มีข้อจำกัดในการมองข้างหลัง)
  5. หมอนหนุนล้อ (สาหรับการปฏิบัติงานที่มีการบรรทุกสินค้า และขนถ่ายสินค้าเป็นประจำ)
  6. เครื่องบันทึกความเร็ว เครื่องมือที่ใช้บันทึกระยะทางและระยะเวลาในการเดินทางของรถ
  7. แผ่นยางหุ้มคันเหยียบเพื่อป้องกันการลื่นไถล (เช่น คลัทช์ และ เบรก)
  8. เครื่องป้องกันการวิ่งลอดจากด้านหลังเพื่อป้องกันความเสียหายจากการชนทางด้านหลัง และเพื่อป้องกันไม่ให้รถบรรทุกเข้ามาชนกับแท่นเครื่องยนต์ (สำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักมากกว่า 12.5 ตัน)
  9. ยางล้อรถที่มีความลึกของร่องยางตามกฎหมายกำหนด (ห้ามใช้ยางที่มีการหล่อดอกยางกับล้อขับเคลื่อน)
  10. อุปกรณ์จัดเก็บสินค้าเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ต่างๆเคลื่อนที่ไปมาในห้องผู้โดยสาร
  11. ยางกันโคลนและแผ่นกันโคลน
  12. ป้ายเตือนสำหรับผู้ขี่จักรยาน
  13. ผ้าคลุมพื้นที่บรรทุกสินค้าเมื่ออยู่บนถนนสาธารณะ เพื่อลดการกระจายของละอองฝุ่น และเศษหินเศษปูน

ในกรณีที่การประเมินความเสี่ยงชี้ให้เห็นว่า อาจเกิดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำอันเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศ ประเภทของ รถขนส่งสินค้า ที่ใช้หรือสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงมากกว่าปกติ ควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการพลิกคว่ำที่เหมาะสมไว้ด้วย (ภายในหรือภายนอกก็ได้) และในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้กฎหมายการป้องกันการพลิกคว่ำอย่างเข้มงวด รถบรรทุกจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์นี้ไว้ พนักงานขับรถไม่ควรเก็บ หรือบรรทุกสิ่งของที่ไม่ได้บรรจุในหีบห่อซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุไว้ในส่วนของที่นั่งผู้โดยสารของรถทุกประเภท รถที่ไม่มีที่จัดเก็บอุปกรณ์แยกต่างหากจะต้องมีการติดตั้งตาข่ายคลุมของ หรืออุปกรณ์ใดก็ตามที่ใช้แบ่งพื้นที่การจัดเก็บของออกจากพื้นที่ผู้โดยสาร ในบางประเทศที่มีกฎหมายบังคับ เช่น แอฟริกาใต้ จะต้องมีการติดแถบสะท้อนแสงรอบรถเพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นในเวลากลางคืน

บริษัทขนส่งสินค้า และบทบาท การจัดการด้านความปลอดภัยของผู้บริหาร
บริษัทขนส่งสินค้า และบทบาท การจัดการด้านความปลอดภัยของผู้บริหาร

การซ่อมบำรุงรักษารถจาก บริษัทขนส่งสินค้า ของเรา จะต้องแน่ใจว่ารถของบริษัททุกคันที่นำไปปฏิบัติงานมีสภาพที่พร้อมและปลอดภัยเมื่ออยู่บนถนน ซึ่งนอกจากจะลดความเสี่ยงจากการเกิดอันตรายบนท้องถนน รถไม่เสียระหว่างการขนส่งแล้ว รถของบริษัทที่ได้รับการดูแลอย่างดีจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยประหยัดเงินให้บริษัทได้มาก บริษัทต้องกำหนดวิธีการซ่อมบำรุงรักษารถ ซึ่งรวมถึงการให้พนักงานขับรถตรวจสอบรถทุกวันและทุกสัปดาห์ แผนงานการซ่อมบำรุงที่กำหนดไว้ จะต้องมีการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน และระยะเวลาขั้นต่ำระหว่างการเข้ารับบริการซ่อมบำรุงแต่ละครั้ง บริษัทต้องนารถไปให้หน่วยงานของรัฐตรวจสอบเพื่อให้ได้หนังสือรับรองการตรวจสอบมาตรฐานตามกฎหมาย ในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ บริษัทจะต้องมีการประเมินการซ่อมบำรุงเป็นประจำ และเก็บบันทึกเป็นเอกสารเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ดีและมั่นใจว่า อะไหล่ที่นำมาเปลี่ยนทดแทนให้กับรถของบริษัทมีคุณภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปกรณ์ที่มีผลต่อความปลอดภัย เช่น เบรก หรือ ยางรถยนต์ และจะต้องมีการตรวจสอบความคงทนของอะไหล่และข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อจะได้สามารถระบุปัญหาและแนวโน้มต่างๆ ในการที่จะปรับปรุงรถหรือส่วนประกอบต่างๆ ของรถหรือพัฒนาระบบการซ่อมบำรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ การซ่อมบำรุงที่ดาเนินการภายในโรงงานจะกระทำได้โดยผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม และมีคุณสมบัติตามที่กำหนด และมีใบอนุญาตให้ดำเนินการได้เท่านั้นโดยจะต้องดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น และควรบันทึกรายละเอียดการซ่อมบำรุงลงในคู่มือการซ่อมบำรุงของบริษัทผู้ผลิตรถนั้นด้วย

บริษัทขนส่งสินค้า ของเราห้ามไม่ให้มีการดำเนินการซ่อมบำรุงภายในโรงงานโดยผู้ช่างที่ฝึกหัดหรือยังไม่ผ่านการประเมิน ไม่ว่าจะโดยพนักงานขับรถของบริษัท หรือพนักงานขับรถของผู้รับเหมา หรือ พนักงานขับรถของลูกค้า สำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องให้บุคคลภายนอกซ่อมรถให้ รถคันนั้นจะต้องนำมาให้ช่างซ่อมที่มีใบอนุญาตทำการตรวจสอบ และรับรองการซ่อมในโอกาสแรกที่สามารถกระทำได้

การตรวจสอบรถก่อนออกเดินทาง การตรวจสอบรถจะต้องทำเป็นประจำ ระบบที่นำมาใช้ต้องระบุถึงการตรวจสอบที่จำเป็น ความถี่ในการตรวจสอบและบุคคลผู้ทำการตรวจสอบ ข้อมูลในการตรวจสอบจะต้องบันทึกเก็บไว้ เพื่อให้ฝ่ายจัดการได้นามาวิเคราะห์ทบทวนเมื่อจำเป็น การตรวจสอบรถก่อนออกเดินทางเป็นกฎข้อบังคับของ บริษัทขนส่งสินค้า ของเราเพื่อให้มั่นใจว่ารถอยู่ในสภาพที่สามารถขับได้อย่างปลอดภัย ก่อนการเดินทางครั้งสำคัญหรือการเดินทางที่มีระยะเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง พนักงานขับรถที่ได้รับมอบหมายจะต้องทำการตรวจสอบรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ซึ่งการตรวจสอบรถก่อนออกเดินทางด้วยสายตาควรจะตรวจสอบในเรื่องต่อไปนี้:

  1. ล้อรถและยางรถยนต์ (เช่น น็อตล้อรถ และ ความลึกของดอกยาง)
  2. ไฟส่องสว่างและส่วนที่ใช้สะท้อนแสง
  3. หน้าต่าง กระจก และที่ปัดน้าฝน
  4. แตร
  5. โครงสร้างของรถ ส่วนการทางานของรถและระบบน้ามันหล่อลื่น
  6. ระบบเบรคและเบรคมือ
  7. สภาพพวงมาลัย

การตรวจสอบก่อนออกเดินทาง จะต้องดำเนินการในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการมองเห็น พนักงานขับรถควรจะแก้ไขปัญหาเล็กๆน้อยๆ ด้วยตนเอง (เช่น การเติมระดับน้ำให้เต็มตามที่กำหนด) และกรอกรายละเอียดในแบบตรวจสอบ เพื่อรายงานความผิดปกติ หากพบว่ารถมีปัญหาที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้งาน เช่น ระบบเบรกมีปัญหา พนักงานจะต้องรายงานเรื่องนี้ และหยุดใช้รถคันนี้ทันที จนกว่าจะแก้ไขข้อบกพร่องให้เรียบร้อย และเพื่อช่วยให้ดาเนินการได้ง่ายขึ้น พนักงานขับรถจะต้องปฏิบัติดังนี้

  • พนักงานขับรถและช่างซ่อมจะต้องรายงานปัญหาของรถ
  • จะต้องมีการนำระบบ Lock out / Tag out มาใช้กับรถที่มีปัญหาทุกคัน เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลอื่นๆ ทราบว่ารถเหล่านี้ “ไม่สามารถใช้งานได้”
  • บริษัทต้องสร้างให้เกิดความมั่นใจว่าการตรวจสอบรถก่อนออกเดินทางได้นำไปปฏิบัติ และทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่ตรวจสอบพบโดยผู้ขับรถจะมีการระบุและบันทึกไว้

การใช้ระบบการบันทึกข้อมูลการใช้รถ (ระบบ วีดีอาร์ VDRs หรือ กล่องดำ) บริษัทที่พนักงานขับรถมีปัญหาด้านพฤติกรรม หรือ ต้องปฏิบัติงานในสภาพพื้นที่ภูมิประเทศที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น บางพื้นที่ของแอฟริกา) ควรพิจารณาติดตั้งระบบการติดตามรถ (IVMS) หรือ เครื่องบันทึกข้อมูลการใช้รถ (VDR) เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทาง และแจ้งผลกลับไปให้พนักงานขับรถ และหัวหน้างานได้รับทราบข้อมูลการเดินทางที่ถูกบันทึกไว้จะมีหมายเลขประจำตัวหรือหมายเลขกุญแจของพนักงานขับรถ ความเร็วที่ใช้ การเร่งความเร็วอย่างแรงหรือการลดความเร็วอย่างกะทันหัน เส้นทางที่ขับ ระยะกิโลเมตรหรือระยะไมล์ และชั่วโมงการขับรถ

ระบบการจัดการข้อมูลจะครอบคลุมสิ่งต่อไปนี้:

  • คู่มือที่จะทำให้แน่ใจว่าได้มีการติดตั้งระบบควบคุมที่สามารถใช้งานได้ มีการป้องกันการลักขโมย และมีสัญญาณเตือนภัยที่ถูกต้องตามข้อบังคับการขับรถของท้องที่นั้น
  • ข้อมูลจากเครื่องติดตามจะถูกบันทึกไว้เพื่อทำการวิเคราะห์ และแจ้งผลกลับไปให้กับพนักงานขับรถแต่ละรายทราบเพื่อพัฒนาปรับปรุงทักษะการขับรถให้ดีขึ้น
  • วิธีการจัดการตามความเสี่ยงอาจต้องถูกนามาใช้ต่อจากขั้นตอนนี้ และควรแนะนาให้มีการนำระบบ VDR มาใช้ในระบบขนส่งและธุรกิจบางประเภท
  • การจัดการจราจรภายในโรงงาน บริษัทต้องมีการกำหนดแผนการจัดการจราจรทั่วบริเวณพื้นที่โรงงานและต้องจัดแบ่งแยกพื้นที่ทางเดินออกจากเส้นทางพาหนะที่กำลังขับเคลื่อน

ข้อบังคับต่อไปนี้ต้องมีกำหนดไว้ที่โรงงาน

แผนผังการจราจร / ช่องทางการเดินรถ ควรจะติดไว้ที่ทางเข้าโรงงาน

ป้ายสัญลักษณ์ จะต้องมีความชัดเจนและเป็นเครื่องหมายรูปแบบการจราจร กฎระเบียบบนท้องถนน (การให้ทาง) กฎระเบียบของโรงงาน (ข้อกำหนดด้านอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล PPE Requirements) สถานที่ตั้งโรงงาน การจำกัดความเร็ว พื้นที่จอดรถ และพื้นที่กลับรถ พื้นที่หวงห้าม

ความเร็ว จะต้องมีการติดป้ายกำหนดความเร็วของรถให้เห็นอย่างชัดเจนทั่วพื้นที่โรงงาน และจะต้องเหมาะสมกับสภาพของโรงงาน

แสงสว่าง เส้นทางการจราจร ทางเดินเท้า ช่องทางเดิน และพื้นที่จอดรถ จะต้องจัดให้มีแสงสว่างที่เพียงพอเพื่อช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นรวมถึงเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคคลและรถ

บริเวณที่จอดรถ และที่พักคนขับรถ ควรมีการจัดบริเวณที่จอดรถ/ที่พักคนขับรถโดยมีสัญลักษณ์บอกชัดเจนและควรตั้งอยู่ห่างจากเส้นทางหลักและบริเวณอันตราย และควรกำหนดให้รถถอยหลังเข้าจอดในบริเวณที่จอดที่กำหนดไว้ ผู้ขับรถควรพยายามจอดรถในลักษณะที่รถสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ทันทีเมื่อออกตัว

ทางเดินเท้า เขตพื้นที่ทางเดินและช่องทางเดินที่ปลอดภัยจะต้องมีป้ายและสัญลักษณ์ที่ชัดเจนในการแบ่งแยกพื้นที่ระหว่างบุคคลและรถที่กำลังวิ่ง

แนวกั้นขอบถนน แนวกั้นขอบถนนควรจะทำจากหินและควรมีความสูง 1.5 เมตร หรือมีความสูงเท่ากับรัศมีวงล้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ขึ้นอยู่ว่าสิ่งไหนจะสูงกว่ากัน โดยเฉพาะแนวขอบหินด้านหน้าควรจะมีความสูงเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อรถที่ใหญ่ที่สุดและมีเศษหินเสริมด้านหลัง และ ในจุดที่รถบรรทุกมีโอกาสขับผ่านเข้าไปควรติดตั้งแนวกั้นขอบถนน (Berms) ให้สูงกว่าจุดอื่น

ถนน  สำหรับการจราจรที่มีถนนหนึ่งช่องทาง (การเดินรถทางเดียว) ความกว้างของช่องทางควรจะมีขนาดเป็น 2.5 เท่าของความกว้างของรถที่กว้างที่สุด สาหรับถนนสองช่องทาง (การเดินรถสองทาง) ความกว้างของแต่ละช่องทางควรจะมีขนาด 3.5 เท่าของความกว้างของรถที่มีขนาดกว้างที่สุด และสำหรับทางโค้งหรือมุมถนนควรจะมีช่องทางกว้างเป็น 4 เท่าของความกว้างของรถที่มีความกว้างมากที่สุด

การให้ทาง จะต้องให้ทางกับรถบรรทุก และเครื่องจักรเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ทุกครั้ง (ไม่ว่ารถบรรทุกนั้นจะมีการบรรทุกอยู่หรือไม่ก็ตาม)

การถอยหลัง การลดความจำเป็นในการถอยหลังโดยการใช้ระบบเดินรถทางเดียวหรือกำหนดพื้นที่กลับรถ ถ้าจำเป็นต้องมีการถอยหลัง จะต้องมีการประเมินความเสี่ยงและมีการนำมาตรการควบคุมมาใช้ ดังต่อไปนี้

  • ใช้สัญญาณไฟ กระจกนูน CCTV ระบบสัญญาณเสียงถอยหลัง และ อาจจะเลือกใช้ ระบบเรดาร์ตรวจสอบการถอยหลัง (อาจจะมีการนาระบบสัญญาณตัวถอยหลังแบบอัลตร้าโซนิคมาใช้)
  • มีพื้นที่สำหรับการถอยหลังอย่างเพียงพอ และมีแนวกั้นขอบถนน

การติดต่อสื่อสาร จะต้องกำหนดระเบียบ และระบบการติดต่อสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้คนอยู่ในบริเวณจุดที่มียานพาหนะกำลังปฏิบัติงานอยู่

การฝึกอบรมและการสร้างจิตสำนึก จะต้องระบุข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับแผนจราจร และกฎจราจรของแต่ละโรงงาน ไว้ในการปฐมนิเทศและการฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัยที่จัดขึ้นสำหรับ พนักงาน ผู้รับเหมา ลูกค้าหรือ ผู้ที่เข้ามาติดต่องานในโรงงาน โดยมีข้อมูลต่างๆ เช่น

  • จะต้องรัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา
  • ห้ามมีการซ่อมรถในเส้นทางโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามนอนหลับข้างใต้หรือบริเวณรอบๆรถที่จอดอยู่
  • ห้ามใช้หูฟังวิทยุ เช่นเครื่องเล่น iPods หรือ MP3 ขณะขับรถ

บริษัทขนส่งสินค้า ต้องแจ้งให้ผู้ที่เข้ามาบริเวณพื้นที่บริษัททุกท่าน (ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ผู้รับเหมา ลูกค้า หรือ ผู้ให้บริการ) เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการขับรถภายในโรงงาน จะต้องให้ความสนใจกฎระเบียบต่างๆ เช่นเดียวกันหรือมากกว่าการขับรถบนถนนสาธารณะ

การจัดการอันตรายในเส้นทางภายนอก ความเสี่ยงของอุบัติเหตุบนถนนจะมีมากขึ้นเมื่อพนักงานขับรถและรถบรรทุกที่ใช้มีการปฏิบัติงานอยู่บนถนนเป็นเวลานานมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตอันตรายของประเทศกำลังพัฒนา บริษัทขนส่งสินค้า ของเราต้องทบทวนกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์โดยรวม และพิจารณาว่าหากเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่ง ประเภทของรถที่ใช้ หรือระบบจ่ายสินค้าและการจัดส่งสินค้าแล้วจะช่วยลดความเสี่ยงในการขับรถบรรทุกบนถนน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินธุรกิจโดยรวม ได้หรือไม่ ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการเดินทาง จะต้องประเมินความเสี่ยงทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินทางที่ใช้ระยะเวลานาน การขับรถในเวลากลางคืน การใช้เส้นทางหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และสภาพอากาศ เป็นต้น เพื่อความเหมาะสม บริษัทจะต้องกำหนดแผนจัดการการเดินทางตามการประเมินความเสี่ยงและจะต้องมีแผนการเดินทางที่สร้างความมั่นใจได้ว่าการเดินทางนั้นปลอดภัย

แผนการจัดการการเดินทางจะต้องครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้ คือ

  • มีการกำหนดผู้จัดการเส้นทางการเดินทาง (หัวหน้าผลัด)
  • มีการสรุปรายละเอียดของงานก่อนการเดินทาง ระหว่างพนักงานขับรถและหัวหน้าผลัดเพื่อหารือกัน ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่น การเปลี่ยนเส้นทาง การหยุดพักรถ จุดอันตราย น้าหนักบรรทุก บุคคลและแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินระหว่างทาง (เช่น ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อรถเสีย)
  • มีการระบุเส้นทางและจัดทำแผนที่อย่างชัดเจน
  • อันตรายจากการขับรถที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะบริเวณสี่แยกที่อันตรายจะต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้พิจารณาถึงสภาพพื้นที่ เวลาที่จะไปถึงจุดนั้น สภาพอากาศ เขตพื้นที่อันตรายที่ทราบกันอยู่แล้ว (จุดบอด) การจำกัดความเร็ว วันหยุด (โดยเฉพาะเทศการที่มีงานสังสรรค์และการดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง)
  • มีการจัดรถให้เหมาะสมกับการเดินทางที่ได้มีการประเมินอันตรายไว้แล้ว
  • พนักงานขับรถที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานจะต้องมีใบอนุญาตขับรถบรรทุกประเภทนั้นที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่
  • ต้องจัดเตรียมวิธีการติดต่อสื่อสารที่เหมาะสมระหว่างพนักงานขับรถและผู้จัดการการเดินทางและข้อปฏิบัติทางการสื่อสารตามที่ตกลง (เช่น การสื่อสารเกี่ยวกับจุดหมายในการเดินทาง หรือ การควบคุมรถ )
  • ต้องตรวจสอบรถก่อนที่จะเดินทาง (โปรดดูเรื่องการตรวจสอบก่อนการเดินทาง)
  • ต้องกำหนดตารางเวลาการหยุดพักรถ
  • ต้องแจ้งเวลาประมาณการที่จะถึงที่หมายให้ผู้ที่อยู่ปลายทางทราบ ถ้าพนักงานขับรถไม่ถึงที่หมายปลายทางตามเวลาที่ประมาณการไว้ ผู้ที่อยู่ปลายทางจะต้องใช้แผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • การเดินทางในเวลากลางคืนหรือในช่วงที่ทัศนวิสัยไม่ดี จะต้องทาการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และต้องได้รับอนุมัติจากฝ่ายบริหารเสียก่อน การประเมินความเสี่ยง จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในเรื่องการมีหิมะ ฝุ่น ควัน หมอก ฝนตกหนัก การคุกคามความปลอดภัย และกฎข้อบังคับเรื่องการขับรถในท้องถิ่นนั้น
  • พนักงานขับรถ ขนส่งสินค้า ต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ โดยต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับชั่วโมงการทางานที่ผ่านมา และ ชั่วโมงพักผ่อน ของพนักงานขับรถในช่วงเวลาของวันนั้น
  • พนักงานขับรถต้องเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองอย่างชัดเจน ในการรายงานการสิ้นสุดการเดินทางให้กับผู้จัดการการเดินทางหรือผู้จัดตารางเวลาได้ทราบ
  • ในขณะที่จอดรถ พนักงานขับรถต้องจอดรถให้พร้อมที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่จอดรถไปข้างหน้า และก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ พนักงานขับรถต้องตรวจสอบว่าไม่มีใครกำลังหลับ พักผ่อน หรือ นั่งเล่นอยู่ข้างใต้หรือรอบรถ
  • เมื่อมีการกำหนดตารางการเดินทางรอบใหม่ บริษัทต้องให้คำปรึกษากับพนักงานขับรถ และกระตุ้นให้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อช่วยระบุถึงความเสี่ยงและวิธีการลดความเสี่ยงจากการเดินทางที่อาจเกิดขึ้นได้
  • เมื่อกำหนดเส้นทางแล้ว บริษัทต้องร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อช่วยปรับปรุงระบบความปลอดภัยในเส้นทาง
  • พึงจำไว้เสมอว่า ผู้จัดการ ผู้จัดตารางเวลา และเจ้าหน้าที่จะต้องไม่กดดันหรืออนุญาตให้พนักงานขับรถคนใดปฏิบัติงานด้วยความเร่งรีบหรือปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้

ถ้าหากเว็บของเรามีประโยชน์? โปรดช่วยกันบอกต่อ :)